วันพุธที่ 12 มีนาคม พ.ศ. 2557

สาเหตุของการมีพุง ที่ไม่ได้มีสาเหตุมาจากไขมัน

คุณ ทราบกันหรือไม่ ? ว่าการที่มีพุงนั้น อาจจะไม่ได้มีสาเหตุเกิดมาจากไขมันก็เป็นได้ ถ้าไม่ใช่เพราะไขมันแล้ว จะเป็นอะไรได้ล่ะ วันนี้เราจึงมีคำตอบสำหรับข้อสงสัยนี้มาฝากกันค่ะ … สาเหตุของการมีพุงป่อง ไม่ใช่เกิดจากการรับประทานอาหารแต่เพียงอย่างเดียว และคนที่มีพุงป่องก็ไม่ได้แปลว่าคนๆ นั้นอ้วนด้วยนะคะ แต่อาจจะเป็นเพียงของอาการบวมน้ำเท่านั้นเอง

1. สาเหตุจากการแพ้อาหาร
ใน บางครั้ง อาการท้องบวม ก็อาจจะเกิดมาจากอาการระคายเคือง หรือการติดเชื้อของระบบย่อยอาหารภายในช่องท้อง หรืออาจจะรวมถึงการรับประทานยาในบางชนิด ที่ทำให้เกิดการบวมน้ำและยังรวมไปถึงการที่กำลังมีรอบเดือนอยู่ด้วย แต่ถ้ามีความรู้สึกว่าหน้าท้องของคุณบวมขึ้นอย่างผิดปกติ หลังจากที่ได้รับประทานอาหารบางชนิดแล้ว ก็ให้สันนิษฐานได้เลยว่า น่าจะมีอาการแพ้มาจากอาหารที่พึ่งได้รับประทานเข้าไป จากสถิติ ได้พบข้อมูลว่า อาหารจำพวกแป้ง และนมนั้น มีโอกาสที่จะทำให้เกิดอาการแพ้และอาการท้องบวมได้มากที่สุด

2. อาหารลดน้ำหนัก
คน ที่ชอบลดความอ้วน ด้วยการหวังพึ่งแต่อาหารลดน้ำหนัก จำพวกไขมันต่ำ หรือไม่มีไขมันแล้ว ก็มักจะมีปัญหาพุงป่อง เพราะเนื่องจากชอบคิดว่า มันเป็นอาหารที่มีปริมาณแคลอรีต่ำ จึงสามารถกินได้ในปริมาณที่มากกว่าปกติ อาหารจำพวกนี้อาจจะมีพลังงานที่น้อยกว่าปกติก็จริง แต่มันก็ไม่ได้มีปริมาณที่น้อยขนาดนั้น ทางที่ดีแล้ว ก็ควรหันมารับประทานอาหารจำพวกผักและผลไม้ให้มากขึ้นจะดีกว่า รวมทั้งควรจะรับประทานอาหารที่มีเอนไซม์ที่ช่วยในการย่อยด้วย อาทิเช่น น้ำมะนาว น้ำส้มสายชูสกัดจากแอปเปิล หรือผักสดต่างๆ

3. รับประทานอาหารช้าๆ แต่รับประทานบ่อยๆ
เวลา รับประทานอาหารก็ควรจะเคี้ยวอาหารให้ช้าๆ ค่อยๆ รับประทาน เพื่อให้ประสาทได้รับรู้และค่อยๆ รู้สึกว่าอิ่ม และในแต่ละมื้อ ก็อย่ารับประทานอาหารให้เยอะเกินจนรู้สึกอิ่มจนเกินไป จะทำให้แน่นท้องและรู้สึกอึดอัด ควรจะแบ่งมื้ออาหารออกเป็นมื้อย่อยๆ แต่ให้หลีกเลี่ยงการรับประทานขนมจุบจิบ จำพวกขนมนมเนยต่างๆ ควรจะเลือกรับประทานผลไม้หรือธัญพืช เมื่อมีความรู้สึกหิวในระหว่างมื้อจะดีกว่า

4. ขจัดสารพิษออกจากร่างกาย
คา เฟอีน แอลกอฮอล์ และนิโคตินในบุหรี่ มีผลร้ายต่อระบบเผาผลาญอาหารของร่างกาย จะส่งผลทำให้ร่างกายมีอาการบวมน้ำและยังก่อให้เกิดเซลลูไลท์ขึ้นอีกด้วย ดังนั้นเมื่อรู้สาเหตุดังนี้แล้ว ก็แค่ที่จะ ลด ละ เลิก การดื่มเครื่องดื่มประเภทแอลกอฮอล์ และเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนต่างๆ และในเวลาเดียวกันนั้น ก็ควรจะเลิกสูบบุหรี่ไปซะด้วยเลย

5. หัดรับประทานโยเกิร์ตสักนิด
ใน กระเพาะอาหารของคนเรานั้น จะมีแบคทีเรียอาศัยอยู่ด้วย เพื่อทำหน้าที่ช่วยในการย่อยอาหาร แต่ในบางครั้งแบคทีเรียเหล่านี้ ก็อาจจะถูกกำจัดไปจากสภาวะต่างๆ เช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นการเจ็บป่วย หรือการรับประทานอาหารในบางชนิด ขอแนะนำให้รับประทานโยเกิร์ตรสธรรมชาติเป็นประจำ เพื่อช่วยในการปรับความสมดุลของแบคทีเรีย ในกลุ่มที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย ซึ่งจะช่วยทำให้ระบบย่อยอาหารของเราสามารถทำงานได้มีประสิทธิภาพที่ดียิ่ง ขึ้น และช่วยทำให้หน้าท้องมีอาการบวมที่น้อยลงได้อีกด้วย

6. ดื่มน้ำในแต่ละวันให้มากๆ
อาการ บวมน้ำนี้ เราควรที่จะดื่มน้ำให้ได้อย่างน้อย 8 แก้วใน 1 วัน แต่วิธีการดื่มน้ำในแต่ละครั้งนั้น อย่าดื่มให้หมดแก้วภายในคราวเดียว ควรจะจิบน้ำบ่อยๆ จิบเรื่อยๆ เพราะการที่เราดื่มน้ำแก้วใหญ่เข้าไปในคราวเดียวนั้น จะไปทำให้กระเพาะปัสสาวะมีการขยายตัวใหญ่ขึ้น ถ้าจะให้ดีที่สุด ก็ลองเลือกดื่มชาสมุนไพร อาทิเช่น ชาเป็ปเปอร์มินต์ หรือชาคาโมไมล์ แทนการดื่มน้ำเปล่า โดยเฉพาะการดื่มน้ำในช่วงหลังอาหารนั้น จะช่วยทำให้อาหารที่ได้รับประทานเข้าไปแล้ว ถูกย่อยได้ดียิ่งขึ้นด้วย

7. บริหารความแข็งแรงให้กับกล้ามเนื้อหัวใจ
ผู้หญิง หลายๆ คน คงมีเชื่อว่าการออกกำลังกายด้วยการซิตอัพทุกวัน จะช่วยทำให้หน้าท้องมีความแบนเรียบ แต่ในความเป็นจริงแล้ว ไม่ได้เป็นอย่างนั้นเลย แม้ว่าการออกกำลังกายด้วยการซิตอัพจะช่วยสร้างกล้ามเนื้อที่บริเวณท้อง แต่ถ้าหากว่าร่างกายนั้น ยังปกคลุมด้วยชั้นไขมันล่ะก็ หน้าท้องที่แบบราบเรียบตึง ก็จะไม่มีวันโผล่มาคุณได้ให้เห็นหรอกค่ะ ดังนั้นจึงจำเป็นที่จะต้องออกกำลังกายแบบคาร์ดิโอ เป็นประจำเป็นระยะเวลาอย่างน้อย 30 นาที ต่อ 1 วัน ติดต่อกันอย่างต่ำเป็นเวลา 3 วัน ต่อ 1 สัปดาห์ เพื่อช่วยให้ร่างกายได้มีการเผาผลาญไขมันที่มีการสะสมไว้ให้ออกไป ควบคู่ไปกับการซิตอัพด้วยแล้ว คราวนี้ล่ะก็รับรองได้เลยว่า คุณจะสวยตึง หุ่นเพรียวอย่างแน่นอน

8. หายใจเข้า หายใจออก ให้ลึกๆ
เมื่อ เราหายใจเข้า หายใจออก แบบลึกๆ แล้วจะช่วยทำให้ร่างกายของเรามีการผ่อนคลายคลายความตึงเครียดออกมา รวมทั้งยังจะช่วยในการเติมก๊าซออกชิเจนและเติมพลังชีวิตให้กับร่างกายอีก ด้วย ทุกๆ ครั้งที่หายใจ ให้พยายามหายใจให้ลึกๆ เข้าไว้ ในขณะที่กำลังหายใจเข้านั้น พยายามสูดลมให้มีความรู้สึกว่าลมเข้าไปยังท้องให้ได้ อย่าให้หยุดเพียงแค่เก็บลมไว้ในช่องอกเท่านั้น การหายใจเข้า หายใจออก จากท้องจนเป็นนิสัยในชีวิตประจำวัน จะช่วยทำให้กล้ามเนื้อที่บริเวณหน้าท้องมีความกระชับและมีความแข็งแรงมาก ยิ่งขึ้น

9. นวดกระชับบริเวณหน้าท้อง
ไม่ เชื่อก็ต้องเชื่อกันล่ะค่ะ ว่าการนวดหน้าท้องนั้น สามารถช่วยได้จริงๆ เนื่องจากการนวดที่บริเวณหน้าท้องนั้น จะช่วยขับไล่ลมที่กักเก็บเอาไว้ในช่องท้องได้ และจะช่วยทำให้ระบบการย่อยอาหารทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพที่ดียิ่งขึ้น ด้วย วิธีการนวดหน้าท้องนั้น ก็ไม่ได้ยากเย็นอะไรเลย เพียงแค่วางฝ่ามือลงบนหน้าท้องแล้วนวดวนไปตามเข็มนาฬิกาเท่านั้น ถ้าอยากจะให้เห็นผลลัพธ์ที่เร็วขึ้น อาจจะใช้ครีมจำพวกกระชับกล้ามเนื้อหน้าท้องร่วมกันไปด้วยก็ได้

บริหารกล้ามเนื้อ เพื่อลดหน้าท้องแบบง่าย ๆ

สวัสดี ค่ะ สาวๆ ทุกคน วันนี้เรามีวิธีการลดหน้าท้องอย่างง่ายๆ มาฝาก สำหรับคุณผู้หญิงให้ได้นำไปลองฝึกกันดูค่ะ ถ้าได้ผลหรือไม่ได้ผลยังไง ก็ช่วยแชร์กันบ้างนะคะ

ท่าที่ 1 บริหารกล้ามเนื้อท้องรวม
ท่าเตรียมพร้อม ให้นอนหงายราบไปกับพื้น นำมือทั้งสองข้างมาประสานกันไว้ที่ท้ายทอย งอเข่าซักเล็กน้อย ยกศีรษะขึ้นจากพื้นในลักษณะทำมุมกับพื้นประมาณ 40 องศา โดยอาศัยแรงยกศีรษะจากลำตัวท่อนบนและจากไหล่ทั้งสองข้าง โดยมือทั้งสองข้างควรจะกางออกตึงไว้ ไม่ใช่อยู่ในลักษณะห่อ และออกแรงดันเพื่อยกศีรษะ เพราะจะทำให้เกิดอาการปวดคอ และอาการคอเคล็ดตามมาได้โดยง่าย

ท่าที่ 2 บริหารกล้ามเนื้อท้องด้านบน
นอน ราบไปกับพื้น ยกขาขึ้นให้ตั้งฉากกับพื้น ให้ช่วงน่องอยู่ในลักษณะไขว้กันไว้ เพื่อจะได้เพิ่มน้ำหนักในขณะที่ยกตัวขึ้น มือทั้งสองข้างประสานกันไว้ที่ท้ายทอย ยกศีรษะขึ้นโดยอาศัยแรงยกจากลำตัวท่อนบนและจากไหล่ทั้งสองข้าง โดยมือทั้งสองข้างคอยประคองศีรษะเอาไว้

ท่าที่ 3 บริหารกล้ามเนื้อท้องด้านข้าง 
นอนราบไปกับพื้น โดยให้ยกเข่าข้างซ้ายขึ้นมาและพับขาขวาในแนวนอนให้มาขัดกันไว้ มือทั้งสองข้างประสานกันไว้ที่ท้ายทอย ยกศีรษะขึ้นโดยอาศัยแรงยกจากลำตัวท่อนบนและจากไหล่ทั้งสองข้าง โดยมือทั้งสองข้างคอยประคองศีรษะเอาไว้ ซึ่งท่านี้นั้นจะเป็นการบริหารกล้ามเนื้อหน้าท้องที่ด้านซ้าย และทำท่าเดิมเช่นเดียวกัน แต่ให้สลับกับครั้งก่อนโดยการยกเข่าขวาขึ้นมาและพับขาซ้ายในแนวนอนให้มันขัด กันไว้ เพื่อจะได้บริหารกล้ามเนื้อที่ด้านขวา

ท่าที่ 4 บริหารกล้ามเนื้อท้องน้อย 
นอนราบไปกับพื้น พับขาให้อยู่ในลักษณะที่ปลอดภัยให้ขาทั้งสองข้างมาบรรจบกัน มือทั้งสองข้างประสานกันรองศีรษะเอาไว้ที่ท้ายทอย ยกศีรษะขึ้นโดยอาศัยแรงยกจากลำตัวท่อนบนและจากไหล่ทั้งสองข้าง โดยมือทั้งสองข้างคอยประคองศีรษะเอาไว้

ท่าที่ 5 บริหารกล้ามเนื้อท้องส่วนล่าง
นอน ราบไปกับพื้น ขาทั้งสองข้างอยู่ในลักษณะเหยียดตรง มือทั้งสองข้างวางราบไปกับพื้น รองไว้ที่ใต้สะโพกเพื่อช่วยรับน้ำหนักให้ส่วนหลัง เกร็งขาทั้งสองข้างไว้และยกขึ้นให้ตั้งฉากกับพื้น ค้างไว้แล้วนับ 1-10 จากนั้นก็เหยียดกลับไปที่ท่าเดิม

ท่าที่ 6 บริหารกล้ามเนื้อท้องด้านบนและด้านล่าง 
นอนราบไปกับพื้น มือขวารองเอาไว้ที่ท้ายทอยเพื่อคอยพยุงศีรษะ ส่วนมืออีกข้างให้เหยียดตรงตั้งฉากกับลำตัว ยกเข่าด้านขวาให้ตั้งขึ้น และยกขาซ้ายไปพาดขาข้างขวาไว้คล้ายกับท่านั่งไขว่ห้าง ใช้กำลังที่หัวไหล่ข้างขวาและหลังยกตัวให้เฉียงขึ้น ให้ข้อศอกแนบจรดที่หัวเข่าข้างซ้าย ทำท่าเดิมซ้ำ แต่ให้เปลี่ยนจากใช้มือขวารองและเข่าขวาตั้ง เป็นใช้มือซ้ายรองและเข่าซ้ายตั้งแทนเพื่อทำการบริหารกล้ามเนื้อด้านตรงข้าม

ใน แต่ละท่านั้น ควรจะทำซ้ำกัน จำนวนท่าละ 20 ครั้ง หากเป็นท่าที่ต้องทำสลับข้างกัน ก็ให้ทำจำนวนข้างละ 20 ครั้ง ใช้เวลาในการบริหารประมาณครึ่งชั่วโมง นอกจากจะช่วยทำให้ร่างกายมีความแข็งแรง และลดหน้าท้องแล้ว ยังจะช่วยลดปัญหาอาการปวดหลัง และอาการปวดตามตัวได้อีกด้วยค่ะ

อาหารที่จะช่วยลดไขมันรอบๆ เอวของคุณ

ความอ้วนนั้น เป็นตัวการร้ายที่ไม่ว่าจะทำยังไง ก็ไม่ยอมหายไปจากชีวิตของเราสักทีนะคะคุณสาวๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่บริเวณรอบๆ เอวของตัวเรา 


มาเถอะค่ะ เรามาลองรับประทานอาหารเหล่านี้กันดู เพราะว่าได้มีผลการค้นคว้าวิจัยออกมาแล้ว ว่าอาหารเหล่านี้นั้นสามารถที่จะช่วยลดปริมาณไขมันได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่บริเวณไขมันรอบๆ เอว หรือที่ใครๆ หลายคนมักจะเรียกจนติดปากว่า ห่วงยาง นั่นเองแหละค่ะ ….

1. อะโวคาโด :
อะ โวคาโดนั้นมีสารอาหารที่อุดมไปด้วยสารเบตาซิสโตสเตอรอล ซึ่งจะช่วยในการดูดซึมของคอเลสเตอรอล มีเส้นใยอาหาร ทั้งชนิดที่ละลายน้ำ ซึ่งจะช่วยในการขจัดเจ้าคอเลสเตอรอลส่วนเกินให้ออกไปจากร่างกาย และชนิดที่ไม่ละลายน้ำ ซึ่งจะช่วยในการป้องกันอาการท้องผูก ปริมาณของอะโวคาโดที่แนะนำให้รับประทานต่อ 1 วัน คือ ครึ่งถ้วย

2. บร็อกโคลี่ :
นัก ค้นว้าวิจัยได้ระบุเอาไว้ว่า สารอาหารที่อยู่บร็อกโคลี่ในอย่างแคลเซียมนั้น จะช่วยทำให้ร่างกายสามารถที่จะเผาผลาญแคลอรีที่ได้สะสมเอาไว้จนเป็นไขมัน ส่วนเกินได้ และบร็อกโคลี่ก็เป็นผักที่เป็นแหล่งของสารอาหารอย่างแคลเซียม ซึ่งไม่มีไขมันอยู่เลย ปริมาณของบร็อกโคลี่ที่แนะนำให้รับประทานต่อ 1 วัน คือ 1 ถ้วยครึ่ง ถึง 2 ถ้วย

3. ถั่วและเมล็ดพืชต่างๆ :
ใน ถั่งแล้วเมล็ดพืชต่างๆ จะมีสารอาหารจำพวกคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน ซึ่งมีส่วนช่วยในการควบคุมน้ำหนัก โดยเฉพาะในถั่วเปลือกแข็งและเมล็ดพืชต่างๆ เช่น ถั่วลิสง ถั่วอัลมอนด์ เม็ดมะม่วงหิมพานต์ เมล็ดฟักทอง เมล็ดดอกทานตะวัน ปริมาณแนะนำให้รับประทานต่อ 1 วัน คือ 2 ช้อนโต๊ะ

4. น้ำมัน :
คุณ ควรจะเลือกกินน้ำมันที่มีประโยชน์ในการช่วยลดน้ำหนักได้ น้ำมันพืชต่างๆ ที่ช่วยในการลดน้ำหนักได้ ได้แก่ น้ำมันมะกอก น้ำมันชา น้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันดอกคำฝอย น้ำมันดอกทานตะวัน ปริมาณแนะนำให้รับประทานต่อ 1 วัน คือ 1 ช้อนโต๊ะ


10 เรื่องที่ควรรู้ในการดูไขมัน


สาวๆ หลายๆคน ที่ไม่มีความมันใจในตัวเองนั้น คิดว่า ตัวเองนั้นมีไขมันส่วนเกินมากเกินไป แล้วก็คิดอยากที่จะไปกำจัดไขมันส่วนเกินนั้นออก อย่าเพิ่งรีบร้อนตัดสินใจไปเลยค่ะ เรามาดูข้อควรรู้และเรื่องที่คุณอาจที่จะไม่เคยรู้มาก่อน กันีกว่า


1. การดูดไขมันไม่ได้เป็นการลดน้ำหนักนะ อย่างแรกเลย การดูดไขมันนั้น จะมีผลเฉพาะต่อบางพื้นที่บางจุดแค่นั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งต้นขาและเอว (พุง) นอกจากนั้น ก่อนที่คุณจะตัดสินใจไปดูดไขมันส่วนเกินนั้น Dr.Dirk Lazarus ศัลยแพทย์พลาสติก แห่งเคปทาวน์ พูไว้ว่า คุณนั้นควรที่จะมีค่าดัชนีมวลกาย (BMI) น้อยกว่า 30 เท่านั้น

 2. วิธีการใหม่ ส่งตรงมาจากสปา วิธีนี้เรียกว่า Cryolipolysis (Cool Sculpting) ซึ่งเป็นการสลายไขมันด้วยความเย็น แต่ว่าวิธีการนี้ ศัลยแพทย์ ยังมีข้อแย่งอยู่ว่า เป็นการสลายไขมันเฉพาะจุดดเพียงเท่านั้น

3. การใช้เทคโนโลยีที่ต่าง ผลลัพท์ก็ต่าง การดูดไขมันออกด้วยวิธี Ultrasonic-Assisted Liposucting (UAL หรือ การดูดไขมันด้วยอัลตร้าซาวด์) ซึ่งใช้การประยุกต์การใช้คลื่นเสียงความถี่สูง ด้วยการใช้สัญญาณเสียงส่งผ่านไปที่ปลายท่อยาว และทำให้เซลล์ไขมันแบบหนาแน่นเช่น ในส่วนหน้าอกและหลัง
ส่วนการดูด ไขมันด้วยวิธี Laser Lipolysis (การดูดไขมันด้วยเลเซอร์) ซึ่งเป็นการใช้แสงเลเซอร์ยิงเซลล์ไขมัน ที่ต้องการให้สลายไป จนกลายมาเป็นน้ำมัน เมื่อไขมันนั้นสลายไปแล้ว มันก็จะไหลออกทางเข็มทางเข้าของสายเลเซอร์
ยังมีอีกหนึ่งวิธี นั่นก็คือ Tumescent Technique เป็นการดูดไขมันแบบฉีดสารละลายระหว่างยาชา และยา Epinephrine เป็นวิธีที่มีการพัฒนามาอย่างยาวนานและ แน่นอนว่า วิธีนี้นี่แหละค่ะ ที่คุณจะได้รับบาดเจ็บน้อยกว่า ผิวหนังที่ถูกดูดไขมันออกไปจะเรียบเนียน ไม่ค่อยมีร่องรอยให้เห็น เลือดออกน้อย แถมยังมีรอยช้ำแค่นิดเดียวเท่านั้น

4. ผลของมันจะอยู่นานขึ้น ถ้าหาเรานั้นปฏิบัติตนได้อย่างถูกต้อง ระยะพักฟื้น ภายหลังจากที่ดูดไขมันจะสั้นหรือนานกว่าปกติ ขึ้นอยู่กับตัวคุณเอง ถ้าหากว่า คุณใช้ผ้ายืดรัดกระชับรูปทรง และลดความเร็วในการเคลื่อนไหว เพื่อไม่ให้เกิดแผลเป็น เกิดลิ่มเลือดและเลือดคั่งได้ นอกจากนี้ การรับประทานอาหารนั้น ก็เป็นเรื่องจำเป็นที่ควรจะใส่ใจ ควรหันมาทานอาหารเพื่อสุขภาพ จะดีกว่า เวลาที่เราจะเห็นผลอย่างชัดเจนนั้นก็ราวๆ 6 เดือนได้ นั่นคือระยะเวลาที่คุณจะต้องใส่ใจในตัวคุณเองให้มากขึ้น

5. มันอาจมีผลข้างเคียงได้ ถ้าหากว่าการดูดไขมันนั้น กระทำโดยผู้อ่อนประสบการณ์ ก็จะส่งผล ให้เกิดอันตรายกันคนไข้ได้ อย่างเช่น การเกิดรอยไหม้ของไขมัน จากการ UAL (Ultrasonic-Assisted Liposucting) การอุดตันของลิ่มเลือดที่ปอด และอาการช็อคที่เกิดจากการทดแทนน้ำที่ไม่เหมาะสม หลังจากดการดูดไขมันเสร็จสิน

6. ควรอยู่ภายใต้การควบคุมของผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น Marella O’Reilly CEO ของ HPCSA (Health Professions Council of South Africa) องค์กรผู้ประกอบวิชาชีพสาธารณสุข ได้กล่าวเอาไว้ว่า การดูดไขมันนั้นต้องทำโดยผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์เท่านั้น ภายใต้เงื่อนไขและสภาวะแวดล้อมที่เหมาะสม

 7. หาย…แต่เพิ่ม งงมั้ยหละ แน่นอนว่า การดูดไขมันนั้น อาจจะทำให้เซลล์ไขมันของคุณนั้นหายไป แต่ทว่าไขมันส่วนอื่นนั้นอาจที่จะเพิ่มมาแทน เพื่อทดแทนส่วนที่หายไป ผู้หญิงรูปร่างปกติ ที่ดูดไขมันที่ต้นขาและท้องน้อย จะมีไขมันในปริมาณที่เท่ากัน เพิ่มขึ้นที่บริเวณเอวส่วนบนช่วงไหล่ และต้นแขนส่วนไตรเซพ การเพิ่มของไขมันนั้น  เป็นการพิทักษ์ร่างกายโดยการสะสมไขมัน
ถ้าหากว่า ภายหลังจากที่คุณได้ดูดไขมันไปแล้วนั้น คุณก็จะกลับไปบริโภคอาหารที่ให้พลังงานมากเกินกว่าที่ใช้ในแต่ละวัน ไขมันก็จะกลับเข้ามาอีกในเซลที่ยังไม่ดนทำลาย

8. ไปเพิ่มที่อื่นแทน ถึงแม้ว่าคุณจะทำการดูดไขมันส่วนเกินออกไปแล้ว แต่แน่นอนว่าไขมันจะไม่กลับเข้าไปสะสมอยู่ที่เดิมที่ถูกดูดออกมา เพราะว่าการดูดไขมันนั้น ได้ทำลายผนังเซลล์ในส่วนนั้นไป แต่ไขมันก็จะไปเพิ่มที่ส่วนอื่นแทนนั่นเอง

9. ไขมันนั้นนำไปเพิ่มที่อื่นได้ ไขมันที่ถูกดูดออกไปนั้น จะสามารถนำกลับมาฉีดกลับเข้าไปในอวัยวะส่วนอื่นๆแทน ได้ ตั้งแต่ริมฝีปาก จรดอวัยวะเพศเลยทีเดียว…! มันคือเรื่องจริงนะ เนื่องจากไขมันที่ถูกดูดออกมานั้น มันก็คือส่วนหนึ่งของร่างกายเรา จึงไม่มีโอกาสที่จะต่อต้านด้วยร่างกายของตนเอง และกระบวนการแบบนี้ สามารถทำได้อย่างต่อเนื่อง ในขณะที่เราดดูดดไขมันเพียงแต่เราต้องฉีดยาชาเพิ่มเข้าไปอีก

10. หญิงจะดีกว่าชาย ศัลยแพทย์พลาสติกจากเมือง เดอร์บัน ประเทศแอฟริกาใต้ ได้กล่าวว่า การดูดไขมันนั้น มักจะประสบผลสำเร็จ ในผู้หญิง มากกว่าใน ผู้ชาย เพราะว่าไขมันที่สะสมอยู่ในร่างกายของเพศชายนั้น จะทำการดูดได้ยากกว่าและใช้เวลานานกว่าในเพศหญิง
ถ้าสาวๆ คนไหน คิดจะไป ดูดไขมัน ส่วนเกินออกละก็ ควรที่จะทำการศึกษาเกี่ยวกับวิธีการและสถานประกอบการณ์ก่อน รวมถึง สภาพร่างกายของตนเองด้วย นี่แหละ ที่สำคัญ ถ้าหากร่างกายคุณนั้นไม่พร้อม ไม่ว่าแพทย์นั้นจะเชี่ยวชาญขนาดดไหน มันก็เสี่ยงเหมือนเดิม

การลดหน้าหน้าท้องยากอย่างไร?

หน้าท้อง เป็นส่วนหนึ่งของร่างกายที่บ่งบอกว่า สภาพร่างกายของเราในตอนนั้นมีสภาพอย่างไร คนที่มีหน้าท้องมาก จนกลายเป็นพุงยื่นออกมา ย่อมหมายความว่า มีไขมันสะสมในร่างกายอยู่เป็นจำนวนมาก และเป็นสันญาณอันตรายที่บ่งบอกว่า ถ้าหากยังคงชะล่าใจต่อไป ไขมันที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆจะทำให้คุณกลายเป็นคนอ้วนไปในที่สุด

นอกจากนี้ไขมันหน้าท้อง ยังเป็นสิ่งที่ลดได้ยาก แล้วยังทำให้สาวๆ หนุ่มๆ สูญเสียความกล้าในการสวมเสื้อผ้าโชว์สัดส่วนหน้าท้องอย่างมั่นใจอีกด้วย


หน้าท้องเกิดขึ้นจากสาเหตุอะไร?

หน้าท้อง เกิดขึ้นจากไขมันโดยการทำงานของตับ ซึ่งทำหน้าที่ในการเปลี่ยนกลูโคสให้กลายเป็นไขมัน จากนั้นจะเก็บสะสมไขมันเอาไว้ใกล้ๆกับตัวเอง หรือบริเวณกลางลำตัว ซึ่งจะอยู่ตามอวัยวะ ภายในช่องท้อง รวมทั้งตับเองด้วย เมื่อมีการสะสมเอาไว้เป็นจำนวนมากๆก็จะทำให้เกิดหน้าท้อง หรือพุงขึ้น

อันตรายจากการมีหน้าท้อง

เมื่อตับมีภาวะไขมันสะสมมากๆ จะถูกเรียกว่า Fatty Liner ซึ่งทำให้เกิดปัญหาในการทำงานของร่างกายตามมา เนื่องจากตับมีหน้าที่เกี่ยวกับการเผาผลาญพลังงาน ขับสารพิษ เมื่อตับมีปัญหาก็จะทำให้ประสิทธิภาพในการทำงานลดลง ซึ่งหมายความว่าการเผาผลาญของร่างกายก็จะลดลงด้วย ทำให้เกิดการสะสมไขมันในร่างกายเพิ่มขึ้นอีกกว่าเท่าตัวเลยทีเดียว

การลดหน้าหน้าท้องยากอย่างไร?

คนเราแต่ละคน จะมีรูปแบบในการลดหรือเพิ่มไขมันในแต่ละส่วนของร่างกายแตกต่างกันออกไป บางคนอาจจะเกิดไขมันสะสมในหน้าท้องก่อนส่วนอื่น บางคนอาจจะเริ่มมีไขมันจากต้นขาหรือก้น ซึ่งความแตกต่างดังกล่าว ทำให้ลำดับขั้นตอนในการลดไขมันแตกต่างกันตามไปด้วย

โดยส่วนใหญ่แล้วลำดับการลดไขมันมักจะตรงกันข้ามกับลำดับการเพิ่ม คนที่เริ่มมีไขมันจากหน้าท้องก่อนส่วนอื่น ก็มักที่จะลดไขมันบริเวณหน้าท้องได้ทีหลังสุด 

วิธีการลดหน้าท้องอย่างง่ายๆ ได้ด้วยตัวคุณเอง


วิธีการลดหน้าท้องสามารถทำได้หลายวิธี แต่จะสามารถทำได้สำเร็จหรือไม่นั้น ต้องขึ้นอยู่กับความพยายามและความตั้งใจจริง ซึ่งจะนำไปสู่ความสำเร็จของคุณสาวๆ ในวันนี้จึงขอเสนอวิธีการเล็กๆน้อยๆ แต่ได้ผล ในการลดหน้าท้องกันอย่างง่ายดายด้วยตัวคุณเอง ดังนี้

1. การออกกำลังกายเฉพาะส่วน

การออกกำลังกายเฉพาะส่วนที่ช่วยในการลดหน้า ท้องมีอยู่หลายวิธี เช่น การซิทอัพ ร่วมกับการออกกำลังกายแบบคาร์ดิโอ เฃ่น วิ่งจ๊อกกิ้ง ว่ายน้ำ ปั่นจักรยาน อย่างน้อย 30 นาที ต่อวัน 3 วันต่อสัปดาห์ เพื่อให้ร่างกายได้เผาผลาญไขมันออกไป นอกจากนี้ยังสามารถออกกำลังโดยการเต้น ซึ่งใน 1 ฃั่วโมง สามารถช่วยให้ร่างกายสามารถเผาผลาญได้ถึง 400 แคลอลี่ โดยเฉพาะการเต้นแบบ Belly Dance จะเป็นการเต้นที่ได้ผลดีมากที่สุด

2. การออกกำลังกายในชีวิตประจำวัน

เป็นการออกกำลังกายที่สามารถทำได้ โดยไม่ต้องแบ่งเวลาไปออกกำลังกายอย่างจริงจัง เช่น การทำงานบ้าน ทำสวน ก้มๆเงยๆบ้าง ถือว่าเป็นการออกกำลังกายไปในตัว หรือในขณะที่นอนดูโทรทัศน์ให้ลองยกขา โดยวางขาไว้บนเก้าอี้แล้วเกร็งท้อง พร้อมกับยกศีรษะค้างเอาไว้สัก 5 วินาที ทำซ้ำประมาณ 10 ครั้ง

นอกจากนี้ ยังมีการบริหารหน้าท้อง โดยการฝึกเกร็งหน้าท้อง ในขณะที่นั่งทำงาน ก็จะช่วยทำให้หน้าท้องของคุณกระชับขึ้นได้ ฝึกทำวันละ 10-15 ครั้ง และการนวดบริเวณหน้าท้อง โดยการวางมือลงบนหน้าท้องแล้วนวดทวนเข็มนาฬิกา จะเป็นการช่วยขับไล่ลมที่เก็บเอาไว้ในช่อท้อง พร้อมยังช่วยทำให้ระบบย่อยอาหารทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น


3. รับประทานอาหารที่มีประโยชน์

โดยเฉพาะอาหารที่มีเส้นใย และกากอาหารสูงๆ เป็นการช่วยแก้ปัญหาท้องผูก และอาหารประเภทโยเกิร์ตรสธรรมชาติเป็นประจำ เพื่อช่วยปรับสมดุลของแบคทีเรียในกลุ่มที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย ซึ่งทำให้ระบบย่อยอาหาร สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

4. หลีกเลี่ยงอาหารที่ทำให้เกิดการสะสมของไขมัน

ในปัจจุบันมีอาหารมากมายหลายชนิด ที่ถึงแม้รสชาติจะอร่อยถูกปาก แต่ทำให้เกิดการสะสมของไขมัน และยังก่อผลเสียให้กับร่างกาย อาทิเช่น อาหารที่มีรสเค็ม ที่มีส่วนประกอบของเกลือเป็นจำนวนมากๆ อย่างของประเภทหมักดอง ซึ่งจะทำให้ร่างกายเกิดอาการบวมน้ำ หรือน้ำอัดลม ที่มีส่วนประกอบของแก็ซและน้ำตาลจำนวนมหาศาล ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดหน้าท้อง

5. ดื่มน้ำเปล่ามากๆ

ในแต่ละวันควรที่จะดื่มน้ำเปล่าให้ได้จำนวน 8-10 แก้วต่อวัน ซึ่งจะช่วยทำให้เกิดรักษาสมดุลของร่างกาย ทำให้ระบบเผาผลาญของร่างกายดีขึ้น และยังช่วยในการเผาผลาญแคลอรี่อีกด้วย

6. พักผ่อนให้เพียงพอ

การเข้านอนตั้งแต่หัวค่ำไม่เกิน 4 ทุ่ม และหลับพักผ่อนให้ได้ไม่ต่ำกว่า 6 ชั่วโมง ต่อวัน จะทำให้ร่างกายหลั่งฮอโมนที่ช่วยเผาผลาญพลังงานออกมา ซึ่งเป็นการช่วยกำจัดไขมันส่วนเกิน

7. การใช้ผลิตภัณฑ์ลดไขมันหน้าท้อง

การใช้ผลิตภัณฑ์ลดไขมันหน้าท้อง เป็นอีกวิธีการง่ายๆที่จะช่วยให้สาวๆที่ต้องการกำจัดไขมันหน้าท้องทิ้งไป อย่างรวดเร็ว แต่ก็จำเป็นที่จะต้องศึกษาหาข้อมูลก่อนซื้อสักนิด เพื่อทีจะได้มั่นใจว่าจะได้สินค้าที่ปลอดภัย และมีประสิทธิภาพ

 

 

วันอังคารที่ 11 มีนาคม พ.ศ. 2557

วิธีการลดหน้าท้อง ลดพุงด้วยตนเอง

วิธีการลดหน้าท้อง ลดพุงด้วยตนเอง เพื่อให้มีหุ่นสวยสมส่วนหลายคนอาจคิดว่าเป็นเรื่องยากและไกลตัว แต่จริงแล้วสามารถทำได้ง่ายๆ ด้วยตัวเองไม่ต้องลงทุนอะไรมากมายเลย ก่อนอื่นเลยสำรวจตัวเองเรื่องปริมาณและคุณภาพของอาหารการกินในแต่ละวัน แล้วก็เริ่มลดปริมาณในแต่ละมื้อลง
หลักๆ เลย วิธีการลดหน้าท้อง ลดพุงด้วยตัวเอง ที่จะให้ได้ผลคือการควบคุมปริมาณและคุณภาพอาหารที่กินในแต่ละมื้อ นั่นเอง

โดยการควบคุมปริมาณก็ทำได้โดยลดสิ่งที่กินลงหรือลดมื้ออาหารลง อาจจะ 3 – 4 มื้อ เหลือเพียง 2 มื้อ ลดปริมาณจากเคยกินข้าวครั้งละสองจานก็เหลือจานครึ่งหรือจานเดียวเป็นต้น

 

 วิธีลดหน้าท้อง ลดพุง ด้วยการควบคุมคุณภาพของอาหาร


การใส่ใจกับอาหารที่กินในแต่ละมื้อ ว่ามีประโยชน์หรือคุณค่าทางโภชนาการมากน้อยแค่ไหน มีประโยชน์หรือจำเป็นต่อร่างกายหรือเปล่า หรือกินเพราะตามใจปากเฉยๆ ควรเลี่ยงอาหารประเภทที่มีน้ำตาลสูงอย่างพวกน้ำอัดลม คุกกี้ เค้ก น้ำหวาน ไอศกรีม และ อาหารประเภทมันๆ ทอดๆ ดื่มน้ำมากๆ เพื่อช่วยขับของเสียออกมาในรูปน้ำ
กินอาหารประเภทที่มีกากใยอย่างผักผลไม้ เพื่อช่วยในการย่อยและการขับถ่าย กินอาหารที่ผลิตจากธรรมชาติเท่าที่จะเป็นไปได้ เพราะสารปรุงแต่งหรือสารสังเคราะห์ทั้งหลายมีผลทำให้ร่างกายทำงานผิดปกติ ซึ่งจะทำให้การลดหน้าท้องนั้นไม่เห็นผลตามที่คาดหวังได้
นอกจากการควบคุมอาหารแล้ว การลดพุง ลดหน้าท้องด้วยตัวเอง หากจะให้เห็นผลเร็วและถาวรยิ่งขึ้นต้องควบคู่ไปกับการออกกำลังกายเป็นประจำ วิธีการออกกำลังกายที่ช่วยให้ลดหน้าท้องด้วยตัวเองได้ผล วิธีที่ง่ายได้ผลเร็วและประหยัดค่าใช้จ่ายคือการ ซิทอัพ สามารถทำได้ง่ายๆด้วยตัวเอง อาจเริ่มจากสิบยี่สิบครั้งแล้วเพิ่มจำนวนครั้งขึ้นเรื่อย
หากสามารถควบคุมปริมาณและคุณภาพอาหาร รวมถึงออกกำลังกายเป็นประจำ การลดหน้าท้องด้วยตัวเอง ก็ไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป รับรองว่าพุงหายหุ่นสวยแน่นอน